รัฐให้เบ็ด ไม่ได้ให้แค่ปลา


04 เมษายน 2561 620 views

รัฐให้เบ็ด ไม่ได้ให้แค่ปลา ประชาชนต้องอยู่ได้อย่างยั่งยืน
เมื่อคุณต้องการปลา คุณจะทำอย่างไร?
 
คำถามง่ายๆที่ทุกคนก็ตอบได้ แต่แน่นอนว่าคำตอบเหล่านั้นล้วนแตกต่างกัน บ้างนึกถึงการเดินไปตลาดแล้วเลือกซื้อปลาที่แหวกว่ายด้วยความทุรนทุรายจากแผง บ้างมุ่งหน้าไปหาพ่อค้าปลา เพื่อหวังต้องการปลาที่สดที่สุด บ้างเลือกที่จะถืออุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นแห อวน หรือกระทั่งเบ็ด (อุปกรณ์สำหรับคนรุ่นใหม่) แต่ไม่ว่าจะวิธีใดผลลัพธ์ก็คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือ “ปลา”
 
แล้วถ้าวันใดตรงกับวันพระเขาไม่ฆ่าปลา 
แล้วถ้าวันใดมรสุมเข้าชาวประมงไม่ออกเรือ
แล้วถ้าวันนั้นคุณต้องการปลา คุณจะทำอย่างไร?
 
          การถืออุปกรณ์เพื่อออกหาปลาเองคงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะฤดูกาลใด สภาพอากาศเป็นเช่นไร เราก็สามารถหาปลาได้ เพราะความสามารถใช้การใช้เครื่องมือที่มีอยู่หาปลานั่นเอง หากเปรียบปลา เป็นน้ำที่ประชาชนต้องการ เครื่องมือที่ใช้หาปลา คงจะเป็นโครงการต่างๆที่รัฐบาลสร้างไว้ เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ำใช้อย่างยั่งยืน
 
“เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า”
 
         หนึ่งคำสอนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 ถูกหยิบยกมาเป็นหลักในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในหลายภาคส่วน การมุ่งมั่นให้ประชาชนสามารถอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง มีอาชีพที่มั่นคง ประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของตนที่มีให้ได้ 
 
         ถึงแม้วิธีการสอนตกปลาจะได้ปลายากกว่าการมอบปลาให้ ขึ้นกับความชำนาญ ทักษะ และความอดทนของแต่ละคน แต่ปลาที่ได้นั้นจะมาพร้อมความยั่งยืน หากมองจุดนี้ก็ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่า !!! กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการสร้างโครงการระบบกระจายน้ำ ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค หรือเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ เพราะไม่ใช้ทุกพื้นที่จะได้รับน้ำจากแหล่งน้ำ แต่ยังมีอีกไม่น้อยเลยที่ต้องอาศัยน้ำจากระบบกระจายน้ำนี้ ปี 2561 – 2563 มีแผนพัฒนาและก่อสร้างระบบกระจายน้ำจำนวน 3,482 แห่ง โดยกระทรวงมหาดไทยจะรับผิดชอบโครงการที่มีขนาดความจุต่ำกว่า ๒ ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีจำนวน ๓,๐๑๓ แห่ง และในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะรับผิดชอบในโครงการที่มีขนาดความจุที่เกินกว่า ๒ ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีจำนวน ๔๖๙ แห่ง ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2557 – 2560 (ปัจจุบัน) กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการก่อสร้างระบบกระจายน้ำซึ่งมีโครงการระบบกระจายน้ำที่สร้างแล้วเสร็จกว่า 256 โครงการ ซึ่งได้ปริมาณน้ำ 60 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์ 14,864  ครัวเรือน และพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ 36,586 
 
         ไม่ใช่แค่โครงการระบบกระจายน้ำ รัฐยังให้มากกว่านั้น เมื่อโครงการระบบกระจายน้ำในแต่ละพื้นที่แล้วเสร็จ กรมทรัพยากรน้ำจะทำการส่งมอบโครงการให้ท้องถิ่นดูแล มีเจ้าหน้าที่สอนระบบการใช้งาน การดูแลรักษา รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำนี้จะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่มีบทบาท เป็นเจ้าของโครงการ ในฐานะของทั้งผู้ใช้งานและผู้ดูแลรักษา จนเกิดเป็นชุมชนเข้มแข็ง มีการประชุม พูดคุย แลกเปลี่ยนวิธีการ นำมาซึ่งการมีประสิทธิภาพของการดำเนินงาน ให้ประชาชนในชุมชนอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องรอคอยการสนับสนุน หรือการพึ่งพากรมทรัพยากรน้ำหรือหน่วยงานภาครัฐเพียงอย่างเดียว เพราะเรายังคงเชื่อในพลังที่มีในตัวของประชาชนโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยแก้วพร้อมระบบส่งน้ำ หนึ่งใน 256 โครงการ ที่กรมทรัพยากรน้ำ ดำเนินการพัฒนาแล่งน้ำและสร้างระบบส่งน้ำถึงประชาชนได้สำเร็จ จากเดิมประชาชนหมู่บ้านร่มโพธิ์ทอง ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย  จังหวัดเชียงใหม่กว่า 4,000 ชีวิต ไม่สามารถทำการเกษตรได้เนื่องจากการขาดแคลนน้ำเพราะพื้นที่ของตนอยู่บนพื้นที่สูง ระบบชลประทานเข้าไม่ถึง สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 กรมทรัพยากรน้ำเข้าดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำและระบบส่งน้ำที่สามารถกักเก็บได้มากถึง 2,180,000 ลูกบาศก์เมตร ส่งน้ำได้ระยะความยาวกว่า 12 กิโลเมตร พร้อมเข้าเผยแพร่ความรู้ให้ชาวบ้านในพื้นที่ จนพวกเขาเข้มแข็งจากการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ทำให้ชีวิตเขามีความสุขมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่หลักหมื่นเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสน และบางครอบครัวเพิ่มเป็นหลักล้าน พื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์กว่า 5,000 ไร่ และนอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังมีแผนสร้างระบบส่งน้ำเพิ่มเติมความยาว 6 กิโลเมตร ในปี 2562
 
          ประขาขนมีน้ำใช้ตลอดปี อยู่ได้ด้วยความมั่นคงในชีวิต มีการบริหารจัดการน้ำที่สมดุล เหมือนมีเบ็ดอยู่ในมือ จึงไม่ต้องกลัวเลยว่าจากนี้ จะได้ปลาอย่างไร เพราะตาบใดที่รู้วิธีการตกปลา โดยมีอุปกรณ์คือเบ็ดที่รัฐจัดหาไว้ให้ แน่นอนว่าจะสามารถหาปลาได้ทุกครั้งที่ต้องการนอกจากจะมีโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟู และโครงการระบบกระจายน้ำ แล้วยังมีอีกหลายภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำที่ได้ดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความยั่งยืน อย่างเช่น โครงการการสร้างเครือข่ายชุมชนในระบบลุ่มน้ำวังโตนด ซึ่งเป็นการให้ประชาชนในระบบลุ่มน้ำมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น หรือเสนอแนะถึงแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ตลอดจนปลายน้ำ เรียกได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน จากการสร้างเครือข่ายชุมชนนั้นทำให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนมากมายไม่ว่าจะเป็นในส่วนของประชาชนได้ใช้สิทธิ์ของตนเองในการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ทำให้เกิดความสามัคคีของประชาชนในชุมชน ทำให้มีการวางแผนกำหนดแนวทางการใช้น้ำ และที่สำคัญมีน้ำไว้ใช้ในการทำสวนผลไม้ 
 
          เครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำวังโตนดนั้นเป็นเครือข่ายชุมชนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีผลไม้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ ลำไย ฯเท่านั้นยังไม่พอยังมีการส่งออกไปยังหลายประเทศอย่างเช่น ประเทศจีน และประเทศใกล้เคียงอีกหลายประเทศ ซึ่งผลไม้ต่างๆเหล่านี้ต้องอาศัยน้ำในการยืนต้นและผลิดอก ออกผล ดังนั้นทรัพยากรน้ำจึงถือว่ามีความสำคัญมากต่อชาวสวนผลไม้ในจังหวัดจันทบุรีและเพื่อทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมีประสิทธิภาพ รวมถึงประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดร่วมกันภายในชุมชนและมีการดำเนินงานร่วมกันกับหน่วยงานราชการ ด้วยเหตุนี้ กรมทรัพยากรน้ำ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ เครือข่ายชุมชน จึงได้มี โครงการเครือข่ายชุมชน ขึ้น และเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำวังโตนด ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายลุ่มน้ำชุมชน จากหลายๆเครือข่ายลุ่มน้ำ ดังที่คุณไวกูณฐ์ เทียนทอง เลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำวังโตนดได้กล่าวว่า “...ที่แห่งนี้ได้รับน้ำมาจากลุ่มน้ำวังโตนด ซึ่งลุ่มน้ำนี้มี 2 หน่วยงานเข้ามาดูแลทั้งกรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำ โดยกรมทรัพยากรน้ำจะสนับสนุนการรวมกลุ่มของเครือข่ายลุ่มน้ำที่เข้มแข็ง ลุ่มน้ำวังโตนดนี้จึงถือเป็นหัวใจสำคัญและตอนนี้เราก็บริหารจัดการที่นี่ได้ดี..."
 
ช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี ประชาชนจะประสบกับปัญหาภัยแล้ง
รัฐบาลเห็นความสำคัญ เร่งหาวิธีแก้ไข นั่นแสดงว่า ไม่ใช่แค่เบ็ดเท่านั้นที่ประชาชนจะได้ 
รัฐยังช่วยสอนวิธีการดูแลรักษาคันเบ็ด และวิธีการเตรียมการรับมือกรณีที่น้ำแห้ง ไม่มีพื้นที่ให้ตกปลาอีกด้วย
 
          ปี 2561 กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และจะสิ้นสุดกลางเดือนพฤษภาคม กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประเมินความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่นอกเขตชลประทานระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน 2561 คาดว่ามีความต้องการใช้น้ำประมาณ 3,994 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่นอกเขตชลประทานมีอยู่ประมาณ 3,681 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะเดียวกัน กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับกรมชลประทานได้ประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับอำเภอทั้งในพื้นที่นอกเขตชลประทานและพื้นที่ในเขตชลประทาน พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งใน 23 จังหวัด 74 อำเภอ โดยส่วนมากมีความเสี่ยงในระดับปานกลาง ยกเว้นอำเภอเดียวที่มีความเสี่ยงสูง คือ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์           
  
          ในการนี้เพื่อให้เป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน กรมทรัพยากรน้ำได้จัดเตรียมอุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องมือต่างๆ ประจำในพื้นที่พร้อมช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ประกอบด้วย รถยนต์บรรทุกน้ำ จำนวน 106 คัน เครื่องสูบน้ำ จำนวน 304 เครื่อง รถแจกจ่ายน้ำ จำนวน 22 คัน ตู้ผลิตน้ำดื่ม จำนวน 6 เครื่อง และเครื่องผลิตน้ำประปาจำนวน 6 เครื่อง นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้มีน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยระหว่างปี พ.ศ. 2557 – 2560 มีแหล่งน้ำที่ใช้ในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งจำนวน 3,658 โครงการ ซึ่งสามารถจัดหาน้ำเพิ่มเติมได้ 1,003 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์ 2.69 ล้านครัวเรือน และสนับสนุนพื้นที่การเกษตรได้ 652,373 ไร่ นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำได้บูรณาการข้อมูลกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และได้เตรียมความพร้อมของจุดจ่ายน้ำบาดาลถาวร จำนวน 89 แห่ง ทั่วประเทศ (อยู่นอกเขตชลประทาน จำนวน 52 แห่ง และอยู่ในเขตชลประทาน จำนวน 37 แห่ง) ประชาชนติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ทางสายด่วน Green Call 1310 กด 5 และสามารถติดตามสถานการณ์น้ำได้ตลอด 24 ชั่วโมงทาง www.dwr.go.th ปี 2561 จะเป็นอีกปีที่มีวิธีการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และจะทำให้เป็นต้นแบบของการบริหารจัดการน้ำในปีต่อๆไปได้อีกด้วย
 
          เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำ ประชาชนจึงต้องร่วมมือกัน รู้คุณค่าของการใช้น้ำ ประหยัดน้ำ และดูแลรักษาพื้นที่แห่งน้ำ แน่นอนวาหากทุกคนช่วยกัน อนาคตเราจะมีน้ำที่มีคุณภาพใช้อย่างยั่งยืนได้แน่นอน

หน่วยงาน : สำนักงานเลขานุการกรม
shadow

การค้นหาขั้นสูง