วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 จากนโยบายการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพิ่มรายได้และลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน กรมทรัพยากรน้ำจึงได้รับนโยบายของกระทรวงฯ มาสู่การปฏิบัติ ตามบทบาทและภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำ โดยการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน
นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเปิดเผยว่า “แนวทางการดำเนินงานตามภารกิจของกรมนั้น ครอบคลุมถึงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา รักษาสมดุลทรัพยากรน้ำโดยคำนึงถึงระบบนิเวศ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำอุปโภค-บริโภค ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างกรมทรัพยากรน้ำ กับ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีและ CPAC Construction Solution มาใช้ในการจัดการน้ำ การสร้างแบบจำลองและการออกแบบก่อสร้างด้วย CPAC BIM ระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump System) และระบบการส่งน้ำระยะไกล และประสบการณ์การทำงานโครงการต้นแบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนในพื้นที่ต้นแบบ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
กรมทรัพยากรน้ำ และ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด(CPAC) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารจัดการน้ำ ณ Hall 2 อาคารเอนกประสงค์ ชั้น 10 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด โดยนายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และ นายสุขธวัช พัทธวรากร ผู้อำนวยการสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด(CPAC) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยกรอบแห่งความร่วมมือ มีสาระสำคัญคือ แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์การบริหารจัดการน้ำ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน แลกเปลี่ยนนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการสำรวจ ออกแบบ ก่อสร้าง การบริหารจัดการน้ำ และเพื่อสร้างองค์ความรู้การบริหารจัดการน้ำร่วมกัน มีเป้าหมาย เพื่อนำองค์ความรู้การบริหารจัดการน้ำในโครงการตัวอย่างและต่อยอดไปสู่การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในครั้งนี้ มีผลบังคับใช้ภายในกำหนดระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ทั้งสองฝ่ายลงนาม